ออสเตรเลีย ซื้อลิขสิทธิ์ ธงอะบอริจิน ในมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์

ออสเตรเลีย ซื้อลิขสิทธิ์ ธงอะบอริจิน ในมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์

รัฐบาล ออสเตรเลีย ดำเนินการซื้อลิขสิทธิ์การใช้งาน ธงอะบอริจิน เพื่อเปิดให้สามารถทำการใช้งานสัญลักษณ์, รูป และตัวธงดังกล่าวได้อย่าวเสรี ในวันนี้ (25 ม.ค. 2565) รัฐบาลของประเทศ ออสเตรเลีย ได้ประกาศถึงการดำเนินการซื้อลิขสิทธิ์การใช้งาน ธงอะบอริจิน (Aboriginal flag) ในมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์ (462.98 ล้านบาท) เพื่อเปิดให้สามารถทำการใช้งานธงดังกล่าวได้อย่างเสรี และปราศจากการคุกคามทางกฏหมาย

ธงอะบอริจิน (Aboriginal flag) ได้ถูกออกแบบโดย Harold Thomas, 

ศิลปินชาวอะบอริจิน ที่มีความต้องการธงนี้เป็นตัวแทนของชาวอะบอริจิน  กลุ่มชนพื้นเมืองประจำประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตัวธงนั้นก็ได้ถูกใช้งานในการแสดงออกทางการเมือง และการประท้วงของกลุ่มชนอะบอริจิน ต่อมาในปี 1995 นั้น ธงนี้ก็ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ และการใช้งานในอาคารราชการ

โดยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานั้น Thomas ได้ทำการปล่อยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถใช้งานธงดังกล่าวบนสินค้าได้ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น เมื่อบริษัท WAM Clothing ได้ทำการยื่นหนังสือยับยั้ง และยุติ ในการใช้งานธงดังกล่าวไปยังองค์กรต่าง ๆ ที่ใช้งานธงนี้ เช่น ลีคฟุตบอลออสเตรเลีย (Australian Football League), ลึครักบี้ และองค์กรไม่หวังผลประโยชน์ของชาวอะบอริจิน

ทำให้ทางรัฐบาลออสเตรเลียนั้น ได้ดำเนินการซื้อลิขสิทธิ์จากกลุ่มบริษัทที่ถือลิขสิทธิ์อยู่ ภายในมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์ (462.98 ล้านบาท) หรือ 20.5 ออสเตรเลียดอลลาร์ ซึ่ง Scott Morrison นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียก็ได้กล่าวว่า รัฐบาลนั้นได้ทำการปลดปล่อยธงอะบอริจิน สำหรับชาวออสเตรเลีย ทำให้ชาวออสเตรเลียทุกคนนั้นสามารถใช้งานธงดังกล่าวได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะในเสื้อผ้า, สนามกีฬา และการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง

Ken Wyatt, รัฐมนตรีกระทรวงพื้นเมืองออสเตรเลีย ก็ได้กล่าวถึงการโอนลิขสิทธิ์ธงดังกล่าวว่า “ในเวลานี้เครือจักรภพแห่งประชาชาติ (Commonwealth) ได้ถือลขสิทธิ์การใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยธงนี้ถือว่าของทุกคน และจะไม่มีใครพรากมันไปได้”

ทางด้านของ Thomas นั้น ก็ได้กล่าวว่า “ผมหวังว่าการดำเนินการดังกล่าวนั้น จะเปิดให้ผู้คนทั้งชาวอะบอริจิน และชาวออสเตรเลีย สามารถทำการใช้งานธงนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ, ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีการปิดกั้น”

องค์การอนามัยโลก ออกมาเตือนประชาชนให้ผู้นำโลกอย่าเพิ่งประมาท ชี้ โควิด ยังไม่ จบเกม และอาจเสี่ยงระวังกลายพันธุ์ซ้ำ เมื่อวันที่ 25 มกราคม สำนักข่าว ชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า นาย เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาเตือนผู้นำและประชาชนว่าอย่าคิดว่า โควิดโอมิครอน  จะเป็นสายพันธุ์สุดท้ายของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยนายเกเบรเยซุส ระบุว่า สถานการณ์ในปัจจุบันยิ่งเหมาะต่อการกลายพันธุ์ของโควิดซ้ำ เนื่องจากประชาชนบางส่วนเริ่มประมาท เนื่องจากผู้ป่วยโควิดโอมิครอนมักจะมีอาการป่วยที่เบากว่าโควิดสายพันธุ์อื่นๆ และการฉีดวัคซีนของประชาชนมากที่ขึ้น

ซึ่งผู้อำนวยการ WHO ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เข้าสู่ปีที่สามแล้ว และในขณะนี้พวกเรากำลังอยู่ในจุดสำคัญของการแพร่ระบาด โดยนาย อัดฮานอม ได้ตอกย้ำให้ประชาชนทั่วโลกให้ความร่วมมือกันและปฏิบัติตามมาตรการโควิด เพื่อยุติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิดสะสม มากกว่า 350 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้วมากกว่า 5.6 ล้านศพ

หนุ่มจีน ถูกพ่อแม่ทิ้ง 2 หน โพสต์เล่าชีวิตสุดขอบเหว ก่อนตัดสินใจจบชีวิต

หนุ่มจีนวัย 17 ถูกทิ้งโดยกำเนิด ตามพบพ่อแม่ที่พลัดพราก สุดท้ายถูกทิ้งอีกครั้ง โพสต์เล่าชีวิตสุดทรมาน ผ่านเรื่องราวเลวร้ายไม่มีใครต้องการ ก่อนจบชีวิตริมชายหาด วานนี้ 24 ม.ค. 65 เว็บไซต์ต่างประเทศ South China Morning Post  รายงานเหตุการณ์สุดสลดของวัยรุ่นชาย ชาวจีนอายุ 17 ปี ชื่อว่า นายหลิว พบเป็นร่างไร้วิญญาณบริเวณชายหาดมณฑลไห่หนาน ทางตอนใต้ของจีน หลังพิสูจน์พบสาเหตุมาจากการฆ่าตัวตาย

ร่างไร้วิญญาณของหลิว ถูกค้นพบหลังจาก ผู้คนเห็นข้อความยาวเหยียดที่เขาเขียนลงบนโซเชียลมีเดียชื่อดังของจีน Weibo โดยก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตาย เขาเขียนข้อความสุดเศร้าเล่าเรื่องราว ชีวิตดิ่งลงเหวว่า

หลิวถูกพ่อแม่ทางสายเลือดขายเมื่อแรกเกิดในปี 2548 แต่หลังจากที่เขาถูกพ่อแม่บุญธรรมนำไปเลี้ยงได้เพียง 4 ขวบ เขาต้องสูญเสียพ่อแม่บุญธรรมไปจากเหตุระเบิด ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่กับตายายบุญธรรมมานับแต่นั้น

หลิวในวัย 17 ปีตามหาพ่อแม่ที่เเท้จริงจนพบ เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ภายในข้อความที่โพสลงโซเชียลมีเดีย หลิวกล่าวน้อยใจว่าเขาถูกพ่อแม่จริงๆทอดทิ้งอีกเป็นครั้งที่ 2 หลิวเล่าว่า ทางพ่อและเเม่ไม่สะดวกให้หลิวไปอยู่ด้วย ตัวเขาจึงขอให้พ่อแม่ซื้อบ้านหรือห้องเช่าให้ก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครตอบรับสิ่งที่เขาต้องการได้เลย นอกจากนี้ผู้เป็นพ่อและแม่ยังไล่เขาให้ออกไปจากชีวิต เพราะอยากมีชีวิตสงบสุขกับครอบครัวใหม่

หลังข้อความที่หลิวโพสต์ พบว่ามีคอมเมนต์จำนวนมาก เขียนข้อความตีกลับและตำหนิหลิวว่าน่าขยะเเขยง รวมถึงเรียกเขาว่าน้องสาว หรือแม้กระทั่งไล่ให้เขาไปลงนรก

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป