สภาพัฒน์ฯ รายงานต่อ ครม. ว่า GDP ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 2.2% ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจประจำปี 2565 โตขึ้นมาอีก 2.5-3.5% นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ว่า ครม. รับทราบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกและแนวโน้มของปี 2565 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 2.2% จำแนกเป็น
ประมาณการตัวเลขแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตอยู่ที่ 2.5-3.5% ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว 3.5% ส่วนแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจไทยสาขาอื่น อาทิ การบริโภคภาคเอกชน 3.9% การลงทุนภาคเอกชน 3.5% การลงทุนภาครัฐ 3.4% มูลค่าการส่งออก (รูปเงิน USD) 7.3% และเงินเฟ้อ 4.2 – 5.2% สำหรับปัจจัยสนุบสนุนปี 2565 อาทิ
1. การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ต่อเนื่อง ควบคู่กับความคืบหน้าการกระจายวัคซีน
2. ฐานรายได้ของครัวเรือนและภาคธุรกิจขยายตัวตามภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการส่งออก
3. การผ่อนปรนมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยยกเลิกมาตรการ Test&Go
ส่วนข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 อาทิ
1. ภาระหนี้สินภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงและจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงตลาดแรงงานยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
2. เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อาจนำไปสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง
3. ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนและมาตรการคว่ำบาตร
4. แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
นอกจากนี้ รัฐบาลมีแนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจปี 2565 ดังนี้
1.การรักษาแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน เช่น
การติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคโควิตเพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคครัวเรือนและธุรกิจสามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างต่อเนื่อง
การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือนเพื่อไม่ให้เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัว
2.การสนับสนุนการฟื้นฟูของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง เช่น
การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยคำนึงถึงการกระจายผลประโยชน์ไปยังพื้นที่เมืองรอง รวมทั้งกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม
การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น
การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า
การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน เช่น การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2562-2564 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและประกอบการและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต
การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงขับเคลื่อนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค
.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ เช่น เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 92.5 ของกรอบงบประมาณทั้งหมด และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของงบประมาณทั้งหมด รวมทั้งการเบิกจ่ายโครงการตามพระราชกำหนดฯ เงินกู้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ 5 แสนล้านบาทในส่วนที่เหลือ
การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร
การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
สำหรับอันดับความร่ำรวยของมาร์ก อ้างอิงจากการจัดอันดับแบบเรียลไทม์ของ Forbes พบว่ามาร์กกำลังตกมาอยู่ที่อันดับ 22 ของเศรษฐีโลก ด้วยสินทรัพย์คงเหลือ 52,800 ล้านเหรียญ หรือราว 1.96 ล้านล้านบาท. (ณ วันที่ 21 กันยายน 2565 เวลา 11.35น.)
รวมถึงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรสและบุตรพร้อมลงลายมือชื่อในกรณีที่คู่สมรสและบุตรที่ไม่ได้เดินทางมาแสดงตัวที่หน่วยงานรับลงทะเบียนด้วย
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป